ความพิเศษของฟรุตเค้กคือ
เก็บได้นาน สามารถอยู่ได้นานอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น
- ฟรุตเค้กที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงอยู่ คือก้อนที่อบเมื่อปี 1878
- ฟรุตเค้กที่นักสำรวจโรเบิร์ต ฟอลคอน สก็อตต์ ทิ้งไว้ที่แอนตาร์กติกาตั้งแต่ปี 1910
- ฟรุตเค้กก้อนเดิมที่เพื่อนสองคนในนิวยอร์กส่งให้กันตั้งแต่ปี 1950
ที่น่าทึ่งคือ ฟรุตเค้กเก่าๆ เหล่านี้ ยังคงกินได้ เพราะส่วนผสมหลักคือ น้ำตาล (ช่วยถนอมอาหาร), ส่วนผสมที่มีความชื้นต่ำ และ เหล้าดีกรีสูง ซึ่งทำให้ฟรุตเค้กเป็นหนึ่งในอาหารที่เก็บได้นานที่สุดในโลก
เรื่องราวของฟรุดเค้กที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่ยังกินได้
ฟรุตเค้กอายุ 100 ปี ถูกค้นพบในกระท่อมเก่าที่ Cape Adare ทวีปแอนตาร์กติกา โดยองค์กรอนุรักษ์มรดกโลกแอนตาร์กติกา (New Zealand)
เค้กยี่ห้อ Huntley & Palmers ชิ้นนี้ อยู่ในสภาพดีเยี่ยมและยังมีกลิ่น แม้จะถูกทิ้งไว้ตั้งแต่การสำรวจ Terra Nova (1910–1913) ของ โรเบิร์ต ฟัลคอน สก็อต และทีม
การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงการเก็บได้อย่างนานของฟรุตเค้ก ซึ่งเป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เหมาะสำหรับสภาพอากาศที่รุนแรง ฟรุตเค้กถือเป็นอาหารที่ นิยมในสังคมอังกฤษ และถูกส่งให้ทหารในสงครามโลกด้วย
นักประวัติศาสตร์ระบุว่า การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นได้รักษาสิ่งของทางประวัติศาสตร์ไว้ ได้อย่างสมบูรณ์ การค้นพบครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันเปราะบางของแอนตาร์กติกา เพื่อรักษาสิ่งที่ถูก “หยุดเวลา” ไว้ใต้แผ่นน้ำแข็ง หลังการตรวจสอบ ฟรุตเค้กพร้อมสิ่งของทั้งหมดจะถูกนำกลับไปวางคืนยังที่เดิม
จุดเริ่มต้นและวิวัฒนาการ ยุคโรมัน เอเนอร์จี้บาร์
ฟรุตเค้กเป็นขนมโบราณ ยุคแรกเริ่มคล้ายกับ เอเนอร์จี้บาร์ ที่ชาวโรมันทำขึ้นเพื่อเป็นเสบียงให้ทหาร มีส่วนผสมของข้าวบาร์เลย์ น้ำผึ้ง ไวน์ และผลไม้แห้ง
ยุคกลางตอนต้น: ขนมปังเครื่องเทศ
ฟรุตเค้กในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน (เค้กเนื้อนุ่ม มีผลไม้และถั่ว) น่าจะเกิดขึ้นในยุคกลางตอนต้นของยุโรป โดยมีการใส่เครื่องเทศหอมๆ อย่างอบเชย กานพลู และลูกจันทน์ลงไป
- ความแตกต่างในแต่ละภูมิภาค ยุโรป: จะคล้าย ขนมปังใส่ผลไม้ มากกว่า เช่น สโตลเลน และ พาเนโตเน่
- อังกฤษ/อเมริกา: มีความเป็น เค้ก มากกว่า โดยเฉพาะเวอร์ชันอังกฤษที่มีการราดหน้าด้วยมาร์ซิแพน
ทำไมฟรุตเค้กถึงเป็นที่นิยมในอเมริกา
อังกฤษ/อเมริกา: มีความเป็น เค้ก มากกว่า โดยเฉพาะเวอร์ชันอังกฤษที่มีการราดหน้าด้วยมาร์ซิแพน น้ำตาลราคาถูก เข้ามาจากแคริบเบียน การนำผลไม้ มาเชื่อมหรือเคลือบน้ำตาล (Candied fruit)น้ำตาลราคาถูก เข้ามาจากแคริบเบียน การนำผลไม้มาเชื่อมหรือเคลือบน้ำตาล (Candied fruit) ทำให้สามารถเก็บผลไม้จากฤดูร้อนไว้ใช้ทำขนมในวันคริสต์มาสได้ อายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน
อายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน
ในยุคที่ไม่มีตู้เย็น ผู้คนก็ต้องการให้วัตถุดิบสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น จึงมีการแนะนำให้ “ปรุงรส” (Seasoning) ฟรุตเค้ก ด้วยการทาบรั่นดีหรือรัมซ้ำๆ และบ่มไว้อย่างน้อย 3 เดือน ก่อนกิน เพื่อให้รสชาติดีขึ้นและหั่นง่าย
เค้กผลไม้แบบสมัยใหม่ ซึ่งเป็นของหวานเนื้อชุ่มฉ่ำที่มีผลไม้และถั่วเป็นส่วนผสมหลัก ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุโรปช่วงต้นยุคกลาง โดยมีจุดเริ่มต้นจากเครื่องเทศหายากและทรงคุณค่าอย่างอบเชย กานพลู และลูกจันทน์เทศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความประณีตในการทำอาหาร เครื่องเทศเหล่านี้ถูกนำมาใช้ร่วมกับผลไม้ในอาหารคาว ก่อนที่จะแพร่หลายไปสู่ขนมปังและเค้กหวานในที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดการพัฒนาขนมอบที่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบเฉพาะตัวในหลายวัฒนธรรม ซึ่งต่อมาได้พัฒนาและกลายมาเป็นเค้กผลไม้ที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง
การจัดส่งทางไปรษณีย์
การเปิดบริการพัสดุไปรษณีย์ในอเมริกาเมื่อปี 1913. ทำให้ธุรกิจสั่งซื้ออาหารทางไปรษณีย์เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ฟรุตเค้กเก็บได้นานและมีเนื้อแน่น. จึงเหมาะกับการส่งทางไปรษณีย์ ทำให้บริษัทฟรุตเค้กชื่อดังหลายแห่งถือกำเนิดขึ้น เช่น บริษัท Huntley & Palmers
จากความนิยมสู่การถูกล้อเลียน
ยุค 1950: ฟรุตเค้กยังคงถูกมองว่าเป็น “สิ่งที่ต้องมี” สำหรับวันหยุด และเป็นของขวัญที่ดีที่สุด ยุค 1989: ผลสำรวจของ Mastercard พบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าฟรุตเค้กเป็น ของขวัญที่ชอบน้อยที่สุด
ยุค 1989: ผลสำรวจของ Mastercard พบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าฟรุตเค้กเป็น ของขวัญที่ชอบน้อยที่สุด
แม้จะถูกวิจารณ์และล้อเลียน แต่ฟรุตเค้กก็ยังคงเป็นประเพณีที่แข็งแกร่งของอเมริกา โดยมีรายงานว่า ยังมีการขายฟรุตเค้กมากกว่า 2 ล้านก้อนในแต่ละปี
โดยมีรายงานว่า ยังมีการขายฟรุตเค้กมากกว่า 2 ล้านก้อนในแต่ละปี
ฟรุตเค้ก 4 แบบ จากทั่วโลก
ดันดีเค้ก (Dundee Cake)
ฟรุตเค้กเวอร์ชันสมัยใหม่ของสกอตแลนด์นี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยบริษัททำแยมผิวส้ม แม้ว่าจะมีเรื่องเล่าว่า พระนางแมรี่ ราชินีแห่งสกอต ไม่ชอบเชอร์รี่เชื่อมในฟรุตเค้กของพระองค์ก็ตาม
- ส่วนผสมหลัก: เค้กนี้มีส่วนผสมของ ลูกเกดดำ (currants), ลูกเกดเหลือง (sultanas), และอัลมอนด์ อยู่เสมอ และบางสูตรอาจใส่เหล้าวิสกี้และผิวส้ม/มะนาวด้วย
- เอกลักษณ์: เค้กนี้ถูกผลิตและทำตลาดในอินเดียจนถึงปี 1980 โดยมีการตกแต่งด้านบนด้วยลายวงกลมที่ทำจากอัลมอนด์ วิธีการทาน: นิยมทานคู่กับชาถ้วยโปรดในช่วงบ่ายที่ฝนตกปรอย ๆ เหมือนที่เคยมีรายงานว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงโปรดปราน
อัลลาฮาบาดิ เค้ก (Allahabadi Cake)
อินเดียมีฟรุตเค้กในแบบของตัวเอง ซึ่งทำจากส่วนผสมท้องถิ่น โดยเฉพาะ แป้งไมด้า (maida) และ ขนมเปฐา (petha) หรือขนมหวานจากฟักอ่อน (winter melon candy)
- ส่วนผสม: นอกจากแยมผิวส้ม, เหล้ารัม, และถั่วแล้ว ยังมีการเพิ่มเครื่องเทศอื่น ๆ เข้าไป เช่น ขิง, เมซ (mace), อบเชย, และยี่หร่า (fennel)
- ตำนานความนิยม: เค้กนี้ตั้งชื่อตามเมืองอัลลาฮาบาด ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านเบเกอรี่ชื่อดังที่ชื่อว่า Bushy’s เค้กอัลลาฮาบาดิมีผู้ติดตามที่ภักดีมาก ลูกค้าประจำแม้กระทั่งจากต่างประเทศจะมานัดวันและเข้าคิวหน้าร้าน หลังจากที่นำส่วนผสมของตัวเองมาส่งให้ครอบครัว Aslam ผสมด้วยมือเป็นเวลา 45 นาที ก่อนนำไปอบนาน 2 ชั่วโมง
พาเนโทเน (Panettone)
พาเนโทเนจากอิตาลีนั้นแตกต่างจากฟรุตเค้กทั่วไป เพราะมีลักษณะเป็น ขนมปัง มากกว่าจะเป็นเค้ก โดยมีการใส่ผลไม้แห้ง ผลไม้เชื่อม และผิวส้ม/มะนาว โดย ไม่ได้นำไปแช่เหล้า
- รูปลักษณ์: มีรูปทรงคล้าย โดม บนฐานทรงกระบอก โดยปกติจะมีความสูงถึง 12-15 ซม. สำหรับเค้กขนาด 1 กิโลกรัม
เคล็ดลับความฟู: ความสูงและเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟูของขนมปังเกิดขึ้นได้จากการ พักแป้งหลายวัน และการปล่อยให้แป้งขึ้น (raising the dough) เป็นเวลาประมาณ 20 ชั่วโมงก่อนอบ
- เคล็ดลับความฟู: ความสูงและเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟูของขนมปังเกิดขึ้นได้จากการ พักแป้งหลายวัน และการปล่อยให้แป้งขึ้น (raising the dough) เป็นเวลาประมาณ 20 ชั่วโมงก่อนอบ
สโตลเลน (Stollen)
สโตลเลนจากเยอรมนีเป็น ขนมปังผลไม้เนื้อแน่น โดยมีการเติมเหล้ารัมลงในส่วนผสมของแป้ง
- เอกลักษณ์เฉพาะ: เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ เมื่อนำขนมปังออกจากเตาอบแล้ว จะต้องรีบ ทาเนยละลายและคลุกในน้ำตาล ซึ่งวิธีนี้ยังช่วยให้ขนมปังเก็บได้นานขึ้นด้วย
- ส่วนผสม: มีการใส่ผลไม้เชื่อม ผิวส้ม/มะนาว ลูกเกด มาร์ซิแพน และอัลมอนด์ ซึ่งอาจนำไปแช่ในรัมหรือบรั่นดี รวมถึงเครื่องเทศอย่าง กระวานและอบเชย
- เทศกาล: ที่เมืองเดรสเดนมีการจัดงาน สโตลเลนเฟสต์ (Stollenfest) ประจำปี ซึ่งมีการทำขนมปังขนาดยักษ์หนัก 3-4 ตัน โดยรายได้จากการจำหน่ายจะนำไปบริจาคเพื่อการกุศล
Resources : theconversation, tatlerasia, ngthai