- 2 มิถุนายน 2025
อาหาร และ ความลื่นไหลทางเพศ ความเหมือนที่อาจไม่ต่าง
ในช่วงเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ หรือ Pride Month เป็นช่วงเวลาที่เหล่า LGBTQIA+ ออกมาแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง โดยหากจะเปรียบเทียบกับอาหารที่มีรสชาติและรสสัมผัสที่หลากหลายแล้ว ก็คงไม่ต่างสักเท่าไร แต่จะมีแง่มุมอะไรบ้างที่เหมือนหรือที่ต่างกัน อาหารเป็นหนึ่งในแง่มุมที่เราสำรวจได้และยังมีหลายเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารในเดือนแห่งอัตลักษณ์นี้
แนวคิดของความลื่นไหล
การดึงความคล้ายคลึงเหล่านี้แม้จะค่อนข้างนามธรรม แต่ก็เป็นวิธีหนึ่งในการเฉลิมฉลองความงามและความถูกต้องของความลื่นไหลในทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับที่เราตระหนักและยอมรับธรรมชาติที่หลากหลาย การเปลี่ยนแปลงไปของอัตลักษณ์ทางเพศ เรายังสามารถชื่นชมวิธีที่หลากหลายและการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทั้งเป็นประสบการณ์ที่เราประสบและทั้งการเชื่อมโยงกับโลกรอบตัวเรา รวมถึงสิ่งพื้นฐานอย่างอาหาร เป็นเรื่องของการก้าวข้ามกรอบความคิดและการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส
อัตลักษณ์ทางเพศที่ลื่นไหล
การเป็นบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่ลื่นไหลหมายความว่าอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขาไม่ได้คงที่ อาจเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา หรือแม้แต่วันต่อวัน
อ่านเพิ่มเติมได้เรื่องงานวิจัยทั่วไปเกี่ยวกับความลื่นไหลทางเพศ
- Fluidity in Gender Identity and Sexual Orientation Identity in Transgender and Nonbinary Youth
งานวิจัยนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศวิถี เมื่อเวลาผ่านไปในกลุ่มเยาวชนข้ามเพศและนอน-ไบนารี แม้ว่าจะเน้นไปที่กลุ่มประชากรเฉพาะ โดยผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คงที่เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ซึ่งอาจมีการสำรวจและตระหนักรู้ในตนเองมากขึ้น - The Current State of Sexual Fluidity Research
บทความนี้ทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับความลื่นไหลทางเพศวิถีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำว่าความเข้าใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศวิถีไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกันเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ของความลื่นไหลและการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจความลื่นไหลทางเพศควบคู่ไปด้วย เนื่องจากทั้งสองแนวคิดนี้มีความเชื่อมโยงกันในการทำความเข้าใจอัตลักษณ์ที่หลากหลาย - Gender Fluidity and Nonbinary Gender Identities Among Children and Adolescents
บทความนี้สำรวจการตระหนักรู้และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความลื่นไหลทางเพศและอัตลักษณ์นอน-ไบนารี ผู้เขียนได้อธิบายถึงความสำคัญของการรับฟังและทำความเข้าใจประสบการณ์ของเยาวชนเหล่านี้ และเน้นย้ำว่าการสนับสนุนและการยอมรับมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา - Gender fluidity across the world: A Multilevel Item Response Theory approach
งานวิจัยนี้สำรวจความเข้าใจเกี่ยวกับเพศภาวะในฐานะที่เป็นสิ่งที่ลื่นไหลและมีหลายมิติในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายประเทศ เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้คนในวัฒนธรรมต่างๆ มองว่าเพศภาวะเป็นสิ่งที่ตายตัวหรือลื่นไหลอย่างไร ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่ามีความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการรับรู้เกี่ยวกับเพศภาวะ และในบางวัฒนธรรมแนวคิดเรื่องเพศภาวะที่ลื่นไหลอาจเป็นที่ยอมรับมากกว่า
1. ความลื่นไหลของอาหารคาวและหวาน
- อาหารหลายชาติมีเมนูที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างรสชาติคาวและหวานที่ชัดเจนนั้นไม่ชัดเจน ลองนึกถึงอาหารที่มีน้ำผึ้งหรือมีผลไม้เจืออยู่ในซอสรสเค็ม เช่น บัลซามิกเกลซบนผักย่าง หรือแยมผลไม้เสิร์ฟคู่กับชีส หรือแม้กระทั่งพิซซ่าฮาวายเอี้ยนที่ชาวอิตาเลียนไม่ยอมรับ หรือแม้กระทั่งข้าวอบสัปปะรดที่ดังไปไกลจนมีอยู่ในอนิเมชั่นของดิสนีย์ และก็กลายเป็นอาหารคาวได้อย่างไม่เคอะเขิน แถมมีบรรดาคนที่รักเมนูเหล่านี้มากมายอีกด้วย
- ในทางกลับกัน ขนมหวานบางชนิดก็มีการผสมผสานส่วนประกอบรสเค็ม เช่น คาราเมลเค็ม (Salted Caramel) หรือในชีสเค้ก
- ความ “อูมามิ” มักอธิบายว่าเป็นรสชาติกลมกล่อม อาจมีรสหวานอ่อนๆ ผสมอยู่ด้วย ทำให้มีความครบรสและเข้าใจได้ง่าย
- วัตถุดิบเองก็มีความหลากหลาย สามารถนำมาใช้ได้ทั้งในอาหารคาวและหวาน อย่าง ฟักทองสามารถนำไปทำซุปและสตูว์ได้ กลับกันก็สามารถทำเป็นพายฟักทองและขนมฟักทองได้เช่นกัน เครื่องเทศอย่างอบเชยหรือพริกก็สามารถปรากฏในอาหารทั้งสองประเภท ทำให้เกิดรสชาติที่ซับซ้อนซึ่งไม่อาจจัดว่าเป็นรสใดรสหนึ่งได้อย่างชัดเจน
2. ความลื่นไหลข้ามมื้ออาหาร (เช้า, สาย, เที่ยง, เย็น, ดึก, ว่าง)
- อาหารบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามมื้ออาหารต่างๆ อย่างลงตัว ไข่เป็นตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่าย เพราะคุณสามารถรับประทานเป็นอาหารเช้า อย่างไข่เจียวหรือไข่ดาว อาหารมื้อสาย อย่างออมเล็ตหรือไข่เบเนดิกต์ อาหารกลางวัน ไข่ต้มที่ใส่ในสลัดหรือแซนวิชไข่ และแม้แต่อาหารเย็น อย่างฟรีตตาตาหรือคีช หรือแม้แต่ขนมหวานอย่างพุดดิ้งที่ส่วนประกอบหลักคือไข่นั่นเอง
- โยเกิร์ตสามารถเป็นรับประทานเป็นอาหารเช้ากับกราโนล่าและผลไม้ เป็นอาหารกลางวันเบาๆ สำหรับสาวๆ เป็นของว่างเพื่อสุขภาพรับประทานระหว่างวันได้ หรือแม้กระทั่งนำไปใส่ในซอสหรือเป็นขนมหวานสุดเฮลตี้สำหรับอาหารเย็น
- ขนมปังในรูปแบบต่างๆ ก็มีความหลากหลายที่คนไทยอาจจะคุ้นชิน เพราะนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้าอย่างขนมปังปิ้ง สามารถเป็นแซนวิชสำหรับอาหารกลางวัน หรือรับประทานขนมปังเป็นมื้อเย็นกับอาหารจานหลัก แม้กระทั่งของว่างง่ายๆ กับท็อปปิ้งที่หลากหลายอย่างแยมหรือเนย หรืกลายเป็นแซนวิชสเต็กได้อีกด้วย
- อาหารมื้อใดมื้อหนึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด อาหารเย็นที่เหลือมักกลายเป็นอาหารกลางวัน การทาน “อาหารเช้าสำหรับอาหารเย็น” เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมและน่าสนุก หรือจะเป็นบรันช์ (Brunch) ที่หนักท้อง เชื่อมช่องว่างระหว่างอาหารเช้าและอาหารกลางวัน โดยบางครั้งรวมองค์ประกอบของทั้งสองมื้อเข้าด้วยกัน
3. ความลื่นไหลของสถานะอาหาร (ของแข็ง ของเหลว โฟม เจลลี่ )
- รูปแบบและสถานะของอาหารเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด ท้าทายคำจำกัดความที่ตายตัว ลองยกตัวอย่างข้าวสวย โดยทั่วไปแล้ว ข้าวจะถูกบริโภคในรูปของเมล็ดข้าวที่หุงสุกและนุ่มนิ่ม อย่างไรก็ตาม ในอาหารอย่างข้าวต้มหรือโจ๊ก ข้าวจะเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะของเหลวหรือกึ่งของเหลว ในทางตรงกันข้าม ของว่างอย่างข้าวแต๋นหรือนางเล็ด ข้าวจะอยู่ในรูปของแข็งอย่างชัดเจน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทำไมอาหารจึงไม่มีสถานะที่ตายตัวเช่นกัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาผ่านกระบวนการทำอาหาร
- การเปลี่ยนสถานะอาหารเป็นโฟม อาจไม่แพร่หลายมากนัก แต่ก็มีในอาหารเช่นกัน โดยฟองก๊าซจะกระจายอยู่ในของเหลวหรือของแข็ง อย่างวิปครีมและเมอแรงค์เป็นตัวอย่างคลาสสิก ที่เปลี่ยนผลิตภัณฑ์นมเหลวหรือไข่ขาวให้กลายเป็นเนื้อสัมผัสที่บางเบา การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสได้ไม่น่าเชื่อ เพิ่มสัมผัสที่ละเอียดอ่อนให้กับของหวานหรืออาหารคาว เช่น โฟมมันฝรั่ง
- การทำความเข้าใจและการจัดการสถานะที่ลื่นไหลเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์การประกอบอาหาร (culinary science) และสุนทรียศาสตร์ทางโมเลกุล (molecular gastronomy) เชฟจงใจเล่นกับเนื้อสัมผัสของอาหารเพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มรสชาติ และทำให้ผู้รับประทานประหลาดใจ ในบางเมนูอาจจะมีทั้งอาหารที่กรอบ นิ่ม เป็นของเหลว และเป็นก๊าซหรือเป็นโฟม เพราะส่วนผสมเดียวกันสามารถให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับสถานะทางกายภาพของมัน: มันฝรั่งทอดกรอบ (ของแข็ง) เทียบกับมันฝรั่งบดเนื้อครีม (กึ่งของเหลว) เทียบกับโฟมมันฝรั่งเนื้อเบา (มีก๊าซ) หรือจะเป็นผลไม้เนื้อแน่นกรอบ (ของแข็ง) เทียบกับผลไม้บด (ของเหลว) เทียบกับเจลลี่ผลไม้ที่แวววาว (เจล)
อาหาร แต่ละเมนูกับความลื่นไหลทางเพศ
- ซุป ตั้งแต่ซุปใส ซุปข้น ซุปที่เป็น Starter หรือเปิดต่อมรับรส ซุปที่เป็นจานหลัก ด้วยส่วนผสมและรสชาติที่หลากหลาย สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามส่วนผสมที่ใส่ลงไป บางครั้งอาจมีรสชาติเข้มข้น บางครั้งอาจมีรสชาติอ่อนโยนและซดคล่องคอ
- สลัด ประกอบด้วยส่วนผสมที่หลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบของแต่ละคน บางคนอาจชอบผักเยอะๆ บางคนเน้นโปรตีน บ้างก็ชอบสลัดแซ่บๆ แบบยำ หรือบ้างอาจชอบน้ำสลัดแบบครีม
- อาหารตามสั่ง ในแง่ของการเปิดกว้างและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้สั่ง เช่น ข้าวกะเพราที่สามารถสั่งได้ว่าใส่หมู ไก่ ทะเล ใส่พริกกี่เม็ด ใส่ผักอื่นเพิ่มได้ หรือใส่แค่กะเพราอย่างเดียว จะทำแบบกะเพราคลุกหรือแบบราดข้าว แบบแห้งๆ หรือแบบมีน้ำเยอะหน่อย เช่นเดียวกับอัตลักษณ์ทางเพศที่ลื่นไหล ซึ่งบุคคลสามารถแสดงออกและระบุอัตลักษณ์ของตนเองได้อย่างอิสระ โดยไม่มีข้อจำกัดที่ตายตัว
- บุฟเฟต์ หากพูดถึงความหลากหลายแล้วไม่พูดถึงบุฟเฟต์ก็เหมือนจะขาดอะไรไป เพราะบุฟเฟต์นั้นนำเสนออาหารที่หลากหลายให้เลือกสรรมากมาย ทั้งคาว หวาน ร้อน เย็น นานาชาติ หลากหลายวัตถุดิบและสไตล์
- อาหารฟิวชั่น ที่เป็นการผสมผสานรสชาติและเทคนิคการทำอาหารจากหลากหลายวัฒนธรรม ทำให้เกิดรสชาติและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ เช่นเดียวกับความลื่นไหลทางเพศ ที่อาจเป็นการผสมผสานของความรู้สึกและประสบการณ์ทางเพศที่แตกต่างกัน เพราะในแง่มุมของอาหารนั้นบ้างก็เปลี่ยนไปจนจำรูปแบบไม่ได้ บ้างก็มีการนำเสนอที่แปลกใหม่ บ้างก็รูปลักษณ์แบบเดิมแต่เมื่อเข้าปากแล้วไม่ใช่แบบเดิม
- ค็อกเทลหรือม็อกเทล ที่เกิดจากการผสมผสานของเหลวและส่วนผสมต่างๆ ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รสชาติและสีสันที่หลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนสูตรได้ตามความชอบ