- 11 ธันวาคม 2025
พาเนโทเน (Panettone) ขนมปังสัญลักษณ์แห่งคริสต์มาสของอิตาลี
ประวัติและที่มา
ขนมปังหลักของเทศกาลเฉลิมฉลองของอิตาลีนี้มีอายุย้อนไปถึงยุคกลาง เมื่อผู้คนจะเปลี่ยนมาใช้สูตรขนมปังที่เข้มข้นขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาส ซึ่งธรรมเนียมนี้มีบันทึกอย่างชัดเจนในต้นฉบับศตวรรษที่ 15 อย่างไรก็ตาม มีตำนานมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพาเนโทเน
ตำนานที่ 1 ขุนนางผู้อกหักและช่างทำขนมปัง
ตำนานที่ได้รับความนิยมเล่าถึงขุนนางและนักล่าเหยี่ยวชื่อ อูเกตโต้ (Ughetto) ที่ตกหลุมรัก อาดาลกิซา (Adalgisa) ลูกสาวของช่างทำขนมปังที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน ครอบครัวของอูเกตโต้ไม่เห็นด้วยกับการเลือกของเขา อูเกตโต้จึงปลอมตัวไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ของคนรัก วันหนึ่งเขาได้นำเนยและน้ำตาลที่ซื้อมาจากการขายเหยี่ยวไปผสมในขนมปัง สูตรขนมปังหวานของเขาได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้กิจการของร้านดีขึ้น และเพื่อให้คนรักพอใจมากยิ่งขึ้น ใกล้ช่วงคริสต์มาส เขาได้เพิ่มเปลือกผลไม้เชื่อมและลูกเกดลงไปในส่วนผสม ทำให้ขนมปังนี้โด่งดังจนครอบครัวของเขายินยอมให้อูเกตโต้และอาดาลกิซาสมรสกันได้
ตำนานที่ 2 ขนมปังของโทนี่
ตำนานที่สองเกี่ยวข้องกับชื่อของขนมปังเอง โดย Panettone แท้จริงแล้วแปลว่า “ขนมปังขนาดใหญ่” (มาจาก panetto แปลว่าแป้ง และ one ที่แปลว่าใหญ่) แม้ว่าในภาษาอังกฤษจะแปลตามตัวอักษรว่า “ขนมปังของโทนี่” ก็ตาม
ตำนานนี้กล่าวว่า ในศตวรรษที่ 15 ระหว่างงานเลี้ยงคริสต์มาสของดยุก ลูโดวิโค (Duke Ludovico) พ่อครัวได้ทำของหวานไหม้ไป และเด็กรับใช้ในครัวชื่อ โทนี่ (Toni) ก็ได้เสนอขนมปังหวานที่เขาทำจากของเหลือในครัว ซึ่งเป็นที่ถูกใจของดยุกอย่างมาก พ่อครัวจึงเล่าความจริงว่าโทนี่เป็นคนทำ ทำให้ขนมปังนี้ถูกเรียกว่า “พาเนโทเน” (ขนมปังของโทนี่) นับแต่นั้นมา
ตำนานที่ 3 แม่ชีผู้ใจดี
ตำนานที่โรแมนติกน้อยกว่าอ้างว่าขนมปังหวานนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยท่านชายอูเกตโต้ แต่เป็น ซิสเตอร์อูเกตต้า (Sister Ughetta) แม่ชีที่ต้องการทำขนมเพื่อสร้างความสุขให้กับซิสเตอร์คนอื่นๆ ในสำนักชีที่ยากจนช่วงคริสต์มาส เธอได้ทำเค้กโดยใส่ผลไม้และเปลือกผลไม้เชื่อม และก่อนอบ เธอได้ใช้มีดกรีดรูป ไม้กางเขน บนหน้าเค้ก ซึ่งรอยกรีดนั้นได้เปิดออกเป็นรูปโดมสวยงาม ทำให้ขนมนี้เป็นส่วนเสริมที่น่าพึงพอใจในมื้ออาหารที่เรียบง่ายของเหล่าซิสเตอร์
ความผูกพันกับเมืองมิลานและอิตาลี
- กำเนิดที่มิลาน พาเนโทเนถูกคิดค้นและถือกำเนิดขึ้นที่ เมืองมิลาน ในภาคเหนือของอิตาลี โดยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยยุคเรอเนซองส์ และหาได้ยากนอกเมืองมิลานจนถึงต้นศตวรรษที่ 20
- สัญลักษณ์ของเมือง สแตนนิสเลา ปอร์ซิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านพาเนโทเน กล่าวว่า “ขนมหวานชนิดนี้มีความสำคัญสำหรับเมืองมิลาน และชาวมิลานเองก็ผูกพันกับขนมนี้”
- ขนมคริสต์มาสประจำชาติ: ปัจจุบัน พาเนโทเนได้กลายเป็น ขนมหวานประจำเทศกาลคริสต์มาสของชาวอิตาลี ทั่วประเทศ
ขนมปังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุยาวนานกว่าเทศกาล
- ไม่ใช่แค่เค้ก พาเนโทเนเป็นขนมที่ถูกจัดว่าเป็น ขนมปังมากกว่าเค้ก โดยมีลักษณะเป็นแป้งหวานเนื้อนุ่มฟู ขึ้นฟูด้วยยีสต์ธรรมชาติ และอัดแน่นด้วยผลไม้เชื่อมกับลูกเกด
- ธรรมเนียมโบราณ (3 กุมภาพันธ์) ธรรมเนียมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาวมิลาน คือการเก็บพาเนโทเนชิ้นสุดท้ายที่เหลือจากวันคริสต์มาสไว้กินใน วันที่ 3 กุมภาพันธ์
- ที่มาคือ ตามตำนานนักบุญบิอาจิโอ (San Biagio) ได้ช่วยเด็กที่ติดกระดูกปลาด้วยการให้ขนมปังกิน ดังนั้นในวันฉลองนักบุญนี้ การกินขนมปังที่เก็บไว้จึงเชื่อกันว่าจะช่วย ปกป้องลำคอ ให้ปลอดภัย (ขนมปังชิ้นที่แห้งแล้วนี้มักจะถูกนำไปปิ้งและกินกับเนย)
ศิลปะในการทำพาเนโทเนแบบดั้งเดิม
- ความซับซ้อนและเวลา การทำพาเนโทเน เป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก ต้องใช้ทักษะ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และความอดทน โดยต้องใช้เวลาในการทำอย่างน้อย 36 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาในการเตรียมหัวเชื้อยีสต์)
- หัวเชื้อยีสต์แม่ (Lievito Madre) ส่วนผสมที่สำคัญที่สุดคือ ยีสต์ธรรมชาติ หรือ “ยีสต์แม่” ซึ่งเป็นหัวเชื้อที่บอบบางมาก ต้องดูแลอุณหภูมิและความเป็นกรดอย่างใกล้ชิด การเตรียมหัวเชื้อต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และต้องป้อนแป้งและนวดวันละ 3 ครั้ง
- แป้งที่เข้มข้นขึ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สูตรพาเนโทเนได้เพิ่มปริมาณเนยอย่างมาก จนกลายเป็นขนมที่ เข้มข้นขึ้นมาก ทำให้แป้งทำงานได้ยากขึ้นไปอีก
- รสชาติที่โดดเด่น พาเนโทเนที่ทำอย่างพิถีพิถันจะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละร้าน เนื่องจากยีสต์แม่ได้รับอิทธิพลจากจุลินทรีย์ในสภาพแวดล้อมการทำงานของเบเกอรี่นั้นๆ
การพัฒนาสู่ยุคอุตสาหกรรม
- จุดเปลี่ยนสู่รูปทรงโดม จนกระทั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แองเจโล มอตต้า (Angelo Motta) ได้รับแรงบันดาลใจจากเค้กอีสเตอร์ของรัสเซีย และได้นำมาปรับใช้เป็นแม่พิมพ์กระดาษทรงสูงและทรงกระบอก ทำให้พาเนโทเนมีรูปทรงโดมสูงอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
- การผลิตแบบอุตสาหกรรม หลังจากนั้น มอตต้าและคู่แข่งได้คิดค้นวิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม ทำให้สามารถขนส่งพาเนโทเนไปทั่วประเทศอิตาลีได้ง่ายขึ้น
- ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ แม้จะอบเสร็จแล้ว พาเนโทเนยังมีขั้นตอนสำคัญสุดท้าย คือต้อง จับกลับหัว ภายใน 20 วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้เค้กยุบตัวลงเหมือนซูเฟล่
เหตุผลที่พาเนโทเนมีราคาสูง
ใช้เวลาและทักษะสูงมาก
- กระบวนการยาวนาน พาเนโทเนที่ถูกต้องตามธรรมเนียมต้องใช้เวลาในการดูแล บำรุงรักษา และทำงานกับแป้งอย่างน้อย 36 ชั่วโมง (ไม่นับรวมเวลาในการเตรียมหัวเชื้อยีสต์)
- ความท้าทายในการทำ พาเนโทเน เป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่ง และต้องอาศัยทั้ง ทักษะ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และความอดทน
- การดูแลยีสต์แม่ (Lievito Madre)
- ความละเอียดอ่อน ยีสต์ธรรมชาติ หรือ “ยีสต์แม่” (lievito madre) ซึ่งเป็นหัวเชื้อสำคัญนั้น มีความละเอียดอ่อนและดูแลยากมาก
- ความมุ่งมั่นของเชฟ เชฟต้องคอยตรวจสอบความเป็นกรดและอุณหภูมิ และบางคนถึงกับต้อง นอนน้อยมาก เพราะต้องคอยขัดจังหวะการขึ้นของแป้งในบางช่วง เพื่อป้องกันไม่ให้แป้งเป็นกรดมากเกินไป
ต้นทุนวัตถุดิบ
- ปริมาณเนยที่มาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สูตรพาเนโทเนแบบดั้งเดิมได้เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันมักมีการเพิ่มปริมาณเนยให้มากขึ้น (จาก 400 กรัมต่อแป้ง 1 กิโลกรัม เป็นประมาณ 1 กิโลกรัมต่อแป้ง 1 กิโลกรัม) ทำให้ขนมนี้เป็นขนมหวานที่ “เข้มข้นขึ้นมาก” และมีต้นทุนสูงขึ้น
คุณภาพและรายละเอียดที่ประณีต
- การทำผลไม้เชื่อมเอง เชฟบางคนยังเพิ่มความพิถีพิถันด้วยการซื้อผลไม้ออร์แกนิกมา เชื่อมเอง ซึ่งกระบวนการเดียวนี้ต้องใช้เวลาถึง 20 วันในการเปลี่ยนน้ำเชื่อมอย่างต่อเนื่อง
- ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ แม้แต่หลังจากอบเสร็จแล้ว ยังมีขั้นตอนสุดท้ายที่ต้อง จับขนมปังกลับหัว ภายใน 20 วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้ยุบตัว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความเร็วและทักษะ
Resourses : BBC, Italymagazine